เข้าใจความเป็นมาของถังแซท (SATS) เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
ปัจจุบันในประเทศไทย คำว่า “ถังแซท” (SATS) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป เป็นคำที่คุ้นหูในวงการก่อสร้าง และ การจัดการน้ำเสีย โดยเฉพาะในภาคครัวเรือน และ อาคารพาณิชย์ ถังแซทมีบทบาทสำคัญในการช่วยบำบัดน้ำเสียให้สะอาดก่อนปล่อยลงสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ หรือ สิ่งแวดล้อม แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าเทคโนโลยีนี้มีที่มาอย่างไร และ เหตุใดจึงกลายเป็นที่นิยมในประเทศไทย ดังนั้นบทความนี้เราจะพาคุณย้อนไปสำรวจต้นกำเนิดของถังแซท วิวัฒนาการ การพัฒนา และ ความสำคัญในบริบทของประเทศไทย รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ถังแซทกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพื่อให้สามารถเข้าใจการใช้งานที่แท้จริงได้นั้นเอง
ทำความรู้จักกับถังแซท (SATS) คืออะไร?
ก่อนจะมาเจาะลึกถึงต้นกำเนิด มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ถังแซท” คืออะไรกันก่อน คำว่า “ถังแซท” มาจากคำว่า Sewage Aeration Treatment System (SATS) หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า “ถังแซทส์” ชื่อนี้ถูกตั้งโดยพรีเมียร์ โพรดักส์ ซึ่งเป็นรายแรกในไทยที่ผลิตถังแซทส์ โดยนำเทคโนโลยี Septic Tank จากญี่ปุ่น มาประยุกต์ ให้เหมาะสมกับประเทศไทย จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและเรียกติดปากว่า ถังแซท มาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งถังแซท เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบสำเร็จรูปที่ออกแบบมาเพื่อจัดการน้ำเสียจากครัวเรือน หรืออาคาร โดยน้ำเสียจะถูกส่งผ่านถังเพื่อให้ตะกอนตกตะกอน และ จุลินทรีย์ภายในถังจะย่อยสลายของเสียเป็นอินทรีย์ ทำให้ได้น้ำที่สะอาดพอจะปล่อยลงสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
โดยถังแซทมีทั้งแบบที่ไม่เติมอากาศ (Anaerobic Septic Tank) และ แบบเติมอากาศ (Aerobic Septic Tank) ซึ่งแบบหลังอาจจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าในการลดกลิ่น และ บำบัดน้ำเสียให้สะอาดยิ่งขึ้น ซึ่งถังแซท (SATS) มักทำจากวัสดุอย่างไฟเบอร์กลาส,พอลิเอทิลีน (Polyethylene) หรือ คอนกรีต และ จะถูกฝังใต้ดินเพื่อประหยัดพื้นที่ และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเอง
ต้นกำเนิดของถังแซท: จากแนวคิดสู่เทคโนโลยี
จุดเริ่มต้นของถังแซท หรือ Septic Tank (SATS) นั้นมีต้นกำเนิดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 โดยแนวคิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในฝรั่งเศส โดยนายจอห์น มูร์ (John Mouras) ในช่วงปี ค.ศ. 1860 โดยเขาได้ออกแบบถังสำหรับเก็บ และ บำบัดน้ำเสียจากครัวเรือน โดยอาศัยการตกตะกอน และ การย่อยสลายโดยจุลินทรีย์แบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ซึ่งจะช่วยลดปริมาณของเสียก่อนปล่อยน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อม
ซึ่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาต่อในสหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา โดยมีการเพิ่มระบบท่อระบายน้ำ (Drain Field) เพื่อช่วยกรองน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจากถังแซทให้สะอาดยิ่งขึ้น ระบบนี้จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง เช่น พื้นที่ชนบท
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ถังแซทเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากความต้องการระบบบำบัดน้ำเสียที่ประหยัด และ ติดตั้งง่าย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่มีการใช้ถังแซทในครัวเรือนถึง 25% ในพื้นที่ที่ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง การพัฒนาวัสดุ เช่น คอนกรีต และ ไฟเบอร์กลาส ทำให้ถังแซทมีความทนทาน และ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายของเสียได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบเติมอากาศ (Aerobic Systems)ขึ้นมา ทำให้ประสิทธิภาพของถังแซทดีขึ้นอย่างมาก โดยระบบเติมอากาศได้ช่วยให้จุลินทรีย์ทำงานได้เร็วขึ้น ลดกลิ่นเหม็น และ ทำให้ได้น้ำที่สะอาดกว่าเดิมนั้นเอง
การเข้ามาของถังแซท (SATS) ในประเทศไทย
ถังแซทได้เริ่มต้นเข้ามาในประเทศไทยในช่วงทศวรรษ 1970-1980 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเริ่มมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร และ เมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ และ ชลบุรี โดยการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดปัญหาน้ำเสียจากครัวเรือน และ อาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ระบบบ่อเกรอะและ บ่อซึมแบบดั้งเดิม ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในชนบท เริ่มไม่เหมาะสมในการใช้ในเมืองที่มีดินเหนียวและ น้ำซึมลงดินได้ยาก
ทำให้ถังแซทได้กลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพราะสามารถติดตั้งได้ง่าย ใช้พื้นที่น้อย และ ไม่ต้องพึ่งพาการระบายน้ำลงสู่ดินเหมือนบ่อซึม บริษัทในประเทศไทย พรีเมียร์ โพรดักส์ ได้เริ่มใช้คำว่า ถังแซทส์ ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน และเราเป็นเจ้าแรกที่ทำถังนี้ในไทย จนเป็นที่นิยม และเรียกถังพวกนี้ว่าถังแซทส์ มาตลอด โดยถังแซทส์ผลิตจากวัสดุพอลิเอทิลีน และ ไฟเบอร์กลาส ซึ่งมีน้ำหนักเบา และ ทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่านั้นเอง
วิวัฒนาการของถังแซท(SATS)ในประเทศไทย
1.วัสดุที่เปลี่ยนไป
ในช่วงแรกของ ถังแซท (SATS) ในประเทศไทยมักทำจากคอนกรีต ซึ่งมีน้ำหนักมาก และ ติดตั้งได้ยาก ต่อมาในทศวรรษ 1990 เริ่มมีการใช้พอลิเอทิลีน และ ไฟเบอร์กลาส ซึ่งมีข้อดีดังนี้ มีน้ำหนักเบาซึ่งง่ายต่อการขนย้าย และ ติดตั้ง , ทนต่อการกัดกร่อน จึงเหมาะกับสภาพดินชื้น และ น้ำกร่อยในประเทศไทย และ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 10 ปี โดยไม่ต้องซ่อมบำรุงบ่อยๆนั้นเอง
2.การพัฒนาเทคโนโลยี
ถังแซทในประเทศไทยได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เช่น
- ระบบไม่เติมอากาศ: ซึ่งจะใช้จุลินทรีย์แบบไร้อากาศ (Anaerobic Bacteria) ในการย่อยสลาย และ มีแต่จะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 60-80%
- ระบบเติมอากาศ: เป็นถังแซทที่ใช้ปั๊มเติมออกซิเจนเพื่อเร่งการย่อยสลาย จะมีประสิทธิภาพสูงถึง 90-95% และ ช่วยลดกลิ่นได้ดีกว่า แต่ราคาอาจสูงกว่าเช่นกัน
- ลูกมีเดียชีวภาพ: จะช่วยเพิ่มพื้นผิวให้จุลินทรีย์เกาะตัวได้ดี และ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดให้ดีขึ้น
3.การออกแบบที่หลากหลาย
ถังแซท (SATS) ในปัจจุบันได้มีขนาด และ รูปแบบที่หลากหลาย เช่น ถังทรงกลมจาก World Water Tankหรือ ถังทรงสี่เหลี่ยม เพื่อให้เหมาะกับพื้นที่จำกัดในเมือง ผู้ผลิตยังเพิ่มคุณสมบัติ เช่น ตัวกรองน้ำขั้นต้น (Pre-Filter) และ วาล์วลูกลอยเพื่อควบคุมน้ำอัตโนมัติได้อีกด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่าถังแซทได้มีต้นกำเนิดจากแนวคิดในศตวรรษที่ 19 ในฝรั่งเศส และ พัฒนาจนกลายเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การจัดการน้ำเสียในประเทศไทย ด้วยข้อดี เช่น ความสะดวกในการติดตั้ง ความทนทาน และ การบำรุงรักษาที่ง่าย ถังแซทจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในเมืองที่มีปัญหาดินเหนียว และ น้ำท่วม โดยถังแซทไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาน้ำเสีย แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ และ การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ถังแซทจะยังคงเป็นที่รู้จัก และ ใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทยต่อไปในอนาคต ดังนั้นหากกำลังมองหาถังแซทที่มีคุณภาพเราขอแนะนำ บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ (มหาชน) จำกัด ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ มี ถังแซท ถังบำบัดน้ำเสียหลากหลายรุ่น และ ขนาด อีกทั้งยังมีประสบการณ์ มากว่า 50 ปี ซึ่งวิศวกรของเรามีความชำนาญในการให้คำปรึกษา ทั้งนี้ยังมีสินค้าให้ท่านเลือกอีกหลายรายการ ท่านจึงสามารถไว้วางใจให้เราดูแลท่านได้อย่างแน่นอน
บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน)
โทร : 02-301-2257
E-Mail : sale@pp.premier.co.th
Line : @pp.wtprofessional
Website : https://www.premier-products.co.th/